การที่ไม่ยอมให้ออกจากห้องและบังคับให้นอนอยู่ในห้อง เป็นหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือไม่

คำตอบ เป็นการหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังแล้ว ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5751/2551

เมื่อจำเลยและ อ. ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้วจำเลยและ อ. ไม่ยอมให้ผู้เสียหายออกจากห้องและบังคับให้นอนอยู่ในห้อง พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยและ อ. หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกายอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 310 วรรคแรก แล้ว แม้หลังจากที่จำเลยและ อ. นอนหลับ ผู้เสียหายสามารถหนีออกมาได้ทั้งผู้เสียหายไม่ถูกพันธนาการก็หาทำให้การกระทำของจำเลยและ อ. ซึ่งเป็นการหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกายแล้วไม่เป็นการหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกายแต่อย่างใด

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำพิพากษาฎีกาย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 276, 283 ทวิ, 310, 318

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง, 283 ทวิ วรรคแรก, 310, 318 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตน อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงกับฐานพาบุคคลอายุเกิน 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเพื่อการอนาจาร เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลดโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตน อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 7 ปี 6 เดือน ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น จำคุก 6 เดือน ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 9 ปี 12 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ทวิ วรรคแรก, 319 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะทำความผิดจำเลยอายุ 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 2 ปี ฐานพาผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 3 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า "...พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติในชั้นนี้โดยคู่ความไม่โต้แย้งคัดค้านว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยกับพวกร่วมกันพรากนางสาว ส. ผู้เสียหายซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2528 ไปจาก ช. และ ว. บิดามารดาของผู้เสียหายแล้วจำเลยกับพวกได้กระทำชำเราผู้เสียหายคนละ 1 ครั้ง สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ทวิ เป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 โดยคู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งคัดค้าน ส่วนความผิดฐานพรากผู้เยาว์นั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคแรก (ที่ถูก 318 วรรคสาม) ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก จำคุก 2 ปี จึงเป็นการแก้เฉพาะบทลงโทษเท่านั้น มิได้แก้กำหนดโทษ ถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยพรากผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เสียหายไม่เต็มใจ และขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น แม้ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาในปัญหาดังกล่าวมาก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง และ 310 วรรคแรก ดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าเมื่อผู้เสียหายจะกลับบ้าน นายเอ็นและจำเลยรับอาสาไปส่ง นายเอ็นจึงขับรถจักรยานยนต์ให้จำเลยนั่งซ้อนตรงกลาง ส่วนผู้เสียหายนั่งซ้อนท้าย และเมื่อผ่านบ้านผู้เสียหายแล้ว นายเอ็นไม่ยอมจอดรถจักรยานยนต์กลับขับเลยไปถึงหมู่บ้านจอมทองไปจอดรถตรงแผงผลไม้ซึงเป็นแผงร้าน นายเอ็นจอดรถจักรยานยนต์ให้ผู้เสียหายลงจากรถ จำเลยเอามือล้วงกระเป๋าแล้วพูดขู่ให้ผู้เสียหายเข้าไปในแผงผลไม้ซึ่งมีลักษณะเป็นห้อง นายเอ็นจับผู้เสียหายผลักให้ลงนอนกับพื้นจับถอดเสื้อและกางเกงออก จากนั้นจำเลยนอนทับใช้อวัยวะเพศสอดเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายชักเข้าชักออกจนสำเร็จความใคร่ แล้วจำเลยจับขาผู้เสียหายให้นายเอ็นนอนทับจากนั้นนายเอ็นได้ใช้อวัยวะเพศสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายอีกจนสำเร็จความใคร่ จากนั้นนายเอ็นขู่ว่าหากบอกมารดาจะฆ่าให้ตาย นายเอ็นและจำเลยไม่ยอมให้ผู้เสียหายออกจากห้องและบังคับให้ผู้เสียหายนอนอยู่ในห้องดังกล่าวจนกระทั่งรุ่งเช้าจึงพาผู้เสียหายไปส่งทางเข้าหมู่บ้าน และพูดขู่ว่าหากบอกมารดาจะฆ่าให้ตาย ผู้เสียหายเดินเข้าไปในบ้านน้าเนื่องจากไม่กล้าเข้าบ้าน ประมาณ 5 นาที มารดาถามว่าไปไหนมา ผู้เสียหายร้องไห้และเล่าให้มารดาฟังว่าจำเลยและนายเอ็นข่มขืนกระทำชำเรา ความข้อนี้ ว. มารดาของผู้เสียหายก็เบิกความยืนยันว่า ผู้เสียหายบอกพยานว่านายเอ็นและจำเลยข่มขืนกระทำชำเรา พยานพาผู้เสียหายไปร้องทุกข์ต่อพันตำรวจตรีสุรินทร์ ชูศรี พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสิชลในวันรุ่งขึ้น ซึ่งพันตำรวจตรีสุรินทร์ก็เบิกความยืนยันว่า ผู้เสียหายให้การชั้นสอบสวนว่าจำเลยและนายเอ็นร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา คำขอผู้เสียหาย ว. และพันตำรวจตรีสุรินทร์พยานทั้งสามของโจทก์สอดคล้องต้องกัน ทั้งพยานทั้งสามของโจทก์ไม่มีสาเหตุกับจำเลยจึงมีน้ำหนักให้รับฟัง โดยเฉพาะผู้เสียหายรู้จักกับนายเอ็นเนื่องจากเป็นคนข้างบ้าน ไม่มีพฤติการณ์ว่าเป็นคนรักหรือทำนองชู้สาวกัน ผู้เสียหายเพิ่งจะรู้จักจำเลยในงานเลี้ยงงานวันเกิดนางสาว ส. ในคืนเกิดเหตุโดยนายเอ็นไปงานดังกล่าวได้แนะนำให้รู้จักทั้งในระหว่างอยู่ในงานก็ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายและจำเลยได้พูดคุยกันในทำนองชู้สาวหรือผู้เสียหายแสดงกิริยาท่าทางในทำนองชู้สาวอันจะเห็นได้ว่าผู้เสียหายชอบพอจำเลยในทำนองชู้สาว เช่นนี้ จึงไม่มีพฤติการณ์ที่บ่งชี้ว่าผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยและนายเอ็นกระทำชำเราดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า มีบ้านคนอยู่ห่างแผงผลไม้ร้างที่เกิดเหตุประมาณ 10 เมตร ผู้เสียหายมีโอกาสร้องเรียกให้คนช่วยแต่ก็ไม่ปรากฏจากพยานหลักฐานโจทก์ว่ามีบุคคลใดได้ยินเสียงดังกล่าว จึงฟังไม่ได้ว่ามีการขู่เข็ญ น่าเชื่อว่าผู้เสียหายยินยอมให้กระทำชำเรานั้น ก็น่าจะคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง เพราะได้ความจากคำเบิกความของพันตำรวจตรีสุรินทร์พนักงานสอบสวนพยานโจทก์ซึ่งเป็นพยานคนกลางได้ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุว่าบ้านที่อยู่ใกล้แผงขายผลไม้ร้างห่างประมาณ 500 เมตร ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ผู้เสียหายเป็นหญิงเพียงตัวคนเดียว ย่อมจะกลัวว่าจำเลยและนายเอ็นจะทำร้ายหากร้องให้คนช่วย การที่ผู้เสียหายไม่ร้องจึงไม่อาจสันนิษฐานว่าผู้เสียหายยินยอมให้กระทำชำเราดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยเช่นกัน จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยต่อไปว่า ในคืนเกิดเหตุ จำเลยกับนายเอ็นนอนหลับ ส่วนผู้เสียหายนอนไม่หลับแต่ผู้เสียหายก็ไม่ได้หลบหนีออกมา และผู้เสียหายไม่ได้ถูกพันธนาการ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกับพวกหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำของผู้เสียหายดังวินิจฉัยมาแล้วว่า เมื่อจำเลยและนายเอ็นข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้วจำเลยและนายเอ็นไม่ยอมให้ผู้เสียหายออกจากห้องและบังคับให้นอนอยู่ในห้อง พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยและนายเอ็นหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกายอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคแรกแล้ว แม้หลังจากที่จำเลยและนายเอ็นนอนหลับ ผู้เสียหายสามารถหนีออกมาได้ทั้งผู้เสียหายไม่ถูกพันธนาการดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยก็หาทำให้การกระทำของจำเลยและนายเอ็นซึ่งเป็นการหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกายแล้วไม่เป็นการหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกายแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

อนึ่ง คดีนี้จำเลยให้การชั้นสอบสวนและนำสืบในชั้นศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณานับว่าเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 การที่ศาลล่างไม่ลดโทษให้ตามบทกฎหมายดังกล่าวจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรลดโทษให้แก่จำเลย นอกจากนี้ ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 21) พ.ศ.2551 มาตรา 7 ให้ยกเลิกความในมาตรา 75 และมาตรา 76 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และให้ใช้ความใหม่ในส่วนที่เป็นคุณแทนบังคับแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225"

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง, 283 ทวิ วรรคแรก, 310 วรรคแรก และ 319 วรรแรก ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 (ใหม่) ฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตนอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง กับฐานพาบุคคลอายุเกิน 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเพื่อการอนาจาร เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตนอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 7 ปี 6 เดือน ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นจำคุก 2 เดือน ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 9 ปี 8 เดือน ลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 4 ปี 10 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

 

บทความที่น่าสนใจ

-การด่าตำรวจจราจรว่ารับสินบนจะมีผิดความหรือไม่

-ด่ากันทางโทรศัพท์

-ส่งมอบโฉนดให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันต่อมาไปแจ้งความว่าโฉนดหายมีความผิดต้องโทษจำคุก

-การปลอมเป็นเอกสารจำเป็นต้องมีเอกสารที่แท้จริงหรือไม

-การลงลายมือแทนกันเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร

-เมื่อครอบครองปรปักษ์ที่ดินแล้ว ต่อมาเกิดที่งอกใครเป็นเจ้าของที่งอกนั้น

-ซื้อที่ดินในหมู่บ้านจัดสรร แล้วไปซื้อที่ดินข้างนอกที่ติดกับหมู่บ้าน
เพื่อเชื่อมที่ดินดังกล่าวเข้ากับที่ดินในหมู่บ้าน

-ขายฝากที่ดินต่อมาผู้ขายได้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดิน แต่ไม่ได้ไถ่ภายในกำหนดบ้านเป็นของใคร

-ไม่ได้เข้าร่วมในการแบ่งกรรมสิทธิ์รวม

-ปลูกต้นไม้ในทางสาธารณะสามารถฟ้องให้รื้อถอนออกไปได้

-การทำสัญญายอมในศาลโดยการครอบครองในป่าสงวน

-เจ้าของรวมนำโฉนดที่ดินไปประหนี้เงินกู้ผลเป็นอย่างไร

-การต่อเติมภายหลังปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำ

-คนต่างด้าวก็สามารถครอบครองปรปักษ์ได้

-ผู้รับการให้ด่าว่าผู้ให้ ผู้ให้สามารถเพิกถอนการให้ได้

-ยกที่ดินให้แล้ว แต่มีสิทธิเก็บกินโดยไม่ได้จดทะเบียนผลเป็นอย่างไร

-ด่าว่า จัญไร ถอนการให้ได้

-ฟ้องเรียกค่าขาดกำไร เป็นค่าเสียหายพฤติการณ์พิเศษ

-หนังสือทวงถามส่งไปที่บ้านตามภูมิลำเนาอ้างว่าไม่ได้รับได้หรือไม่

-การยินยอมของเด็กที่ให้ล่วงละเมิดทางเพศ ยังคงเป็นความผิดฐานละเมิด

-ดูหมิ่นเรียกค่าเสียหายได้เท่าไหร่

-ตั้งใจไปกู้แต่เจ้าหนี้ให้ทำสัญญาขายฝากผลเป็นอย่างไร

-คำมั่นจะให้เช่าเป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียว

-การโอนสิทธิการเช่าทำได้หรือไม่